ซื้อรถรุ่นไหนดี เป็นคำถามยอดฮิตที่ใครหลายๆคนต้องเคยตั้งคำถาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่กระแสรถไฟฟ้าเข้ามาตีตลาด ทำให้มีรถยนต์มีประเภทของเชื้อเพลิงที่หลากหลายมากขึ้นบนท้องถนน ส่งผลให้มีเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ถ้าเราอยากจะซื้อ รถยนต์แบบไหนที่จะคุ้มค่ากว่ากัน?

1. ส่วนใหญ่รถยนต์ในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท

1.1 ICE รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน

คือ เครื่องยนต์แบบที่เราคุ้นเคยกันดีที่สุดบนท้องถนน เพราะขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเบนซิน, ดีเซล, เชื้อเพลิงชีวภาพ หรือแม้แต่ก๊าซธรรมชาติ

1.2 HEV รถยนต์ไฟฟ้า Hybrid

เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าจ่ายไฟโดยแบตเตอรี่ เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ หรือเรียกง่ายๆก็คือเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยการผสมผสานระหว่าง ICE และมอเตอร์ไฟฟ้า

1.3 EV รถยนต์ไฟฟ้า 100%

เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้า เรียกว่า รถยนต์ EV หรือ Electric Vehicle

หลายคนอาจจะคิดว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูง หากทำลีสซิ่งแล้วจะคุ้มค่าหรือเปล่า? แต่จริงๆแล้วปัจจัยที่คุณควรพิจาณานอกเหนือจากราคาแล้วยังมีอีก ดังนี้

2. ปัจจัยหลักที่คุณควรพิจารณาในการซื้อรถมีด้วยกัน 4 หัวข้อ

2.1 ราคารถยนต์

ราคาเป็นปัจจัยหลักของใครหลายคนในการเลือกซื้อ แต่รถไฟฟ้าจะได้เปรียบในเรื่องของการเสียภาษีที่น้อยกว่ารถใช้น้ำมันทั่วไป เนื่องจากนโยบายสนับสนุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าจากรัฐบาลที่ทำให้มีการเก็บภาษีลดลง

2.2 ค่าประกันภัยและค่าซ่อมบำรุงรักษา

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่ารถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ทำให้ดูแลรักษาง่าย (ยกเว้น แบตเตอรี่) ดังนั้นเลยประหยัดค่าซ่อมบำรุงได้มากกว่า

2.3 ค่าน้ำมัน / ค่าไฟฟ้า

แม้ว่าค่าไฟจะถูกปรับขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถ้าเทียบต้นทุนต่อกิโลเมตรสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังคงต่ำกว่าต้นทุนการเผาไหม้เชื้อเพลิง

2.4 ราคาขายต่อมือสอง

ในขณะที่รถประเภท ICE และ HEV อยู่ในท้องตลาดมานาน จึงทำให้สามารถคาดเดาราคารถมือสองได้ไม่ยาก ซึ่งต่างจากรถประเภท EV ที่พึ่งเริ่มเข้ามาในบ้านเราได้ไม่นาน

จากปัจจัยเหล่านี้ เราได้เปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดกับรุ่น ICE และ HEV นอกเหนือจากการชำระค่าเช่ารายเดือน (ที่รวมค่าประกัน+ค่าบำรุงรักษา+ราคามือสองเบื้องต้น) เรายังรวมต้นทุนรวมอื่นๆ คือค่าเชื้อเพลิง/ค่าไฟฟ้าโดยประมาณ ตามตารางดังนี้

*Co2 (g/km): อัตราการปล่อยก๊าซคาร์อนไดออกไซด์ เป็นจำนวน กรัมต่อกิโลเมตรของเครื่องยนต์ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงกับมลพิษทางอากาศแล้ว ยังส่งผลต่อการเสียภาษีซึ่งหากมีรถยนต์ของคุณมีอัตราการปล่อย Co2 มากก็จะทำให้ราคารถยนต์เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง

*การคำนวนในตารางเป็นตัวเลขเบื้องต้นเท่านั้นซึ่งอาจแตกต่างไปในการคำนวนจริง

*อัตราค่าน้ำมันคำนวนจากค่าเฉลี่ยราคา 35 บาท/ลิตร (Gasohol 91)

*EV ค่าเฉลี่ย 5.5 บาท/หน่วย

จากตารางเปรียบเทียบรถยนต์ทั้ง 3 ประเภท ถ้าเรามองในมุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่รวมทั้ง ค่าน้ำมัน/ค่าไฟฟ้า+ค่าผ่อนลีสซิ่งต่อเดือนแล้ว รถ EV จะมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ทั้งรุ่น Medium Sedan และ SUV แต่ในรุ่น Large Sedan จะเป็นรถ HEV แสดงให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้แพงไปกว่ารถน้ำมันเมื่อเรารวมค่าใช้จ่ายต่อเดือน นอกจากนี้รถไฟฟ้ายังได้เปรียบในเรื่องของการเสียภาษีที่น้อยกว่ารถใช้น้ำมัน และแน่นอนคุณยังไม่ต้องกังวลไปกับค่าน้ำมันที่ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา

ลีสซิ่งรถยนต์ไฟฟ้ากับไทยโอริกซ์ คุณจะไม่ต้องกังวลทั้งเรื่องค่าซ่อมบำรุง เพราะเรารวมทุกอย่างไว้ในบริการแล้ว แถมยังไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงของราคารถมือสองที่เกิดขึ้น เพราะเราจะเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ หากใครที่ยังลังเลว่าลีสซิ่งรถรุ่นไหนอยู่ หวังว่าตารางนี้จะช่วยคุณตัดสินใจได้มากขึ้น แต่หากรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานคุณเท่าที่ควร ไทยโอริกซ์เราก็พร้อมบริการด้านลีสซิ่งรถยนต์ให้กับคุณได้ทุกประเภท

ไทยโอริกซ์เราพร้อมให้บริการสินเชื่อลีสซิ่ง ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนาน 40 กว่าปี ในประเทศไทยและยังเป็นเจ้าเดียวที่ให้บริการสินทรัพย์ลีสซิ่งที่หลากหลายและครบวงจรที่สุด สามารถติดต่อได้ที่ เบอร์ 02-792-4500

WRITTEN BY

Chortip.O

แชร์บทความนี้
แชร์บทความนี้